มาเรียม B5
เมื่อเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา เชื่อว่าบทเพลงกินใจและน้ำเสียงทรงพลังจะต้องลอยเข้ามาในหูของใครหลายคน เพราะมาเรียม B5 หรือ Mariam Grey Alkalali นักร้องลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลียคนนี้มีแนวทางการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ไม่น้อย
เธอเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางดนตรีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงมาเรียม จากการเข้าไปอยู่ในวงดนตรีประสานเสียง ก่อนมีโอกาสได้ร้องเดี่ยว และตัดสินใจเรียนด้านดนตรีที่ออสเตรเลียตั้งแต่มัธยมปลายจนจบมหาวิทยาลัย
ในเส้นทางสายดนตรี มีช่วงที่เธอเบิร์นเอาต์จนบอกลาวงการ มีช่วงที่เธอสับสน กังวล และกลัวผิดหวัง แต่ก็มีช่วงที่เธอหวนระลึกถึงช่วงเวลายามได้เปล่งเสียงเพลงให้ใครสักคนฟังเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะในช่วงไหนของชีวิต สิ่งหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญคือการบาลานซ์การเป็นนักร้องและการเป็นคนธรรมดาๆ ที่อยากมีเวลาที่ได้อยู่เงียบๆ กับสิ่งที่หลงใหล
นอกจากการเป็นนักร้อง มาเรียมจึงเป็นทั้ง A.R.M.Y (อาร์มี่) กลุ่มแฟนคลับของบอยแบนด์เกาหลีอย่าง BTS เป็นทั้งหนอนหนังสือมูราคามิตัวยง และเป็นคนที่รักการจิบเครื่องดื่มดีๆ สุดหัวใจ
นอกเวลางานวันนี้ เราจึงอยากชวนทุกคนมานั่งสนทนากับมาเรียมในบรรยากาศสบายๆ ถึงความสุขของ Mariam Grey Alkalali
ในแต่ละวัน รูทีนของนักร้องอย่างคุณเป็นยังไงบ้าง
ถ้ารูทีนของการฝึกซ้อมมันก็ต้องมีบ้าง แต่พอเรามาทำงานตรงนี้จริงๆ และได้คุยกับหลายคนเขาก็ไม่ได้ซ้อมหรือวอร์มเลย เพราะงานแต่ละงานของนักร้องไม่ค่อยเป็นแพทเทิร์น บางงานเริ่ม 6 โมงเย็น บางงานร้องตอนเที่ยงคืน อย่างเมื่อคืนร้องตอนห้าทุ่ม พรุ่งนี้มีร้องต้อนสี่ทุ่ม อาชีพนักร้องมันเลยมีรูทีนยาก
แต่มันก็เป็นเป้าหมายของมาเรียมที่อยากสร้างรูทีนให้ตัวเองนะ เช่น วันนี้เราจะออกกำลังกาย วันนี้เราจะอ่านหนังสือ
รูทีนสำคัญยังไงกับชีวิต
มันทำให้รู้สึกว่าเรามีคุณค่ามากขึ้น ถ้าเราตื่นขึ้นมาออกกำลังกายได้ มันเหมือนเป็นรางวัลชีวิตเหมือนกันที่เราสามารถเอาชนะตัวเองได้ เพราะมาเรียมเป็นคนที่ชิลมากๆ เราเลยอยากสร้างระเบียบวินัยให้ตัวเองนิดนึง
ถ้าถอดความเป็นนักร้องออกไป อะไรบ้างที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้มีความสุข
BTS เป็นอย่างหลักๆ เลย ส่วนอีกสิ่งที่สำคัญคือการนั่งจิบเครื่องดื่มแล้วก็อ่านหนังสือ เมื่อก่อนตอนที่มีเวลาเยอะกว่านี้ มาเรียมจะไปหาร้านกาแฟนั่งอ่านหนังสือ กินโกโก้บ้าง หรือไม่ก็ชา
อีกสิ่งคือการเดินทาง มีครั้งนึงเราบินไปเบอร์ลินคนเดียว ตื่นขึ้นมาอีกเช้าก็เดินหาร้านกาแฟนั่ง ในมือมีหนังสือเล่มนึง และช็อกโกแลตร้อนอีกแก้ว เราอ่านหนังสือ สลับกับการนั่งดูคน ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเป็นจุดที่สงบมากๆ เราก็รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรที่เรากังวล เรากังวลไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ ในที่ที่เราไม่รู้จักใครและไม่มีใครรู้จักเรา ภาษาอังกฤษเขาเรียก anonymity
อย่างในห้องเรียมจะมีโซนโต๊ะอาหารที่เราจัดเอง บนโต๊ะจะมีดอกไม้แห้ง เทียนหอม เครื่องปิ้งขนมปัง มีกาน้ำอยู่ใกล้ๆ พอตื่นขึ้นมาก็จะจุดเทียน ดื่มเครื่องดื่มที่เราทำ อ่านหนังสือบ้าง ไม่อ่านบ้าง เป็นโซนที่เวลาเรานั่งแล้วเราคุยกับตัวเองได้มากที่สุด
การคุยกับตัวเองสำคัญยังไง
เวลาเราออกไปร้องเพลง เราต้องให้ตัวตนเรากับคนอื่น บางทีคนเหลือน้อยมาก แต่เราก็ต้องร้องเพราะวันนี้ เราไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง การที่เขาได้ฟังเพลงของเรามันอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในวันนี้ เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด แม้ว่าเราจะกลัวแค่ไหนว่าเหลือคนแค่นี้ เราจะร้องยังไง มันต้องสลัดความคิดพวกนั้นออก
บางทีลงจากเวทีแล้วเหนื่อยมากแต่เมื่อมีคนขอถ่ายรูป เราก็รู้สึกแฮปปี้ แล้วเขาก็แฮปปี้ แต่พอทุกอย่างมันสงบลงแล้ว อารมณ์ถ้ามองเป็นภาพบนเวทีคือเวลาที่ม่านมันปิดลง แล้วสปอตไลท์ก็ดับไปหมดแล้ว มันเหลือแค่ตัวเรา
ทีนี้เราก็จะมีเวลาให้กับตัวเอง คุยกับตัวเองบ้าง สอบถามความรู้สึกของตัวเองบ้างว่าวันนี้เป็นยังไง เพื่อไม่ให้เรากดทับความรู้สึกกังวลหรือความกลัวต่างๆ ไว้มากเกินไป มันเลยเป็นเหตุผลที่เราชอบเรื่อง spiritual ชอบเทียนหอม ชอบกลิ่น ชอบเครื่องดื่มอย่างชาที่มันได้เชื่อมต่อจิตใจของตัวเองมั้ง
ทำไมชาถึงสัมพันธ์กับจิตใจ
พระที่ชื่อติช นัท ฮันห์ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านวาดพวก calligraphy ซึ่งในตัวหมึกก็ผสมชาลงไปด้วย แล้วท่านก็ดื่มชา เรารู้สึกว่าชามันเหมือนเป็นตัว Connect ระหว่างเรากับจิตวิญญาณ
จริงๆ อาจจะคิดไปเองแหละแต่มันรู้สึกแบบนั้นว่ากาแฟมันดูเท่ มันดูชิค มันดูเป็นสาวฮอลลีวูดถือกระเป๋า ถือกาแฟ ใส่แว่นตาดำ แต่ชามันให้ฟีลสงบ เหมือนฉันนั่งอยู่กลางทะเล แล้วฉันก็กำลัง Connect กับตัวเอง จิตวิญญาณ เสียงคลื่น เสียงลม
แต่บางครั้งเราก็อยากชิคนะ เราก็เลยเอาแก้ว Fellow นั่นแหละมาเป็นตัวกลาง (หัวเราะ)
ความชอบชาเกิดขึ้นตอนไหน
เมื่อก่อนเด็กไทยจะถูกสอนว่าทานชาทานกาแฟไม่ดี เราก็เลยไม่ดื่มชากาแฟ แต่ตอนที่มาเรียมอายุประมาณ 11-12 มาเรียมไปเรียนที่อังกฤษ แล้วก็มีคนพาไปร้านชา ตอนนั้นเรียกว่า Cream Tea ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าครีมทีคืออะไร จริงๆ แล้วมันก็คือชาที่มีสโคน แล้วก็มีครีมให้ปาดสโคนและแยม
พอจิบชาเข้าไปแล้วชามันอโรม่า มันหอม เรารู้สึกแฮปปี้ ผ่อนคลายมากๆ รู้สึกว่านี่แหละคือไอเดียของการพักผ่อนอย่างแท้จริง เหมือนคนแก่ไหม (หัวเราะ) แต่พอหลังจากนั้นก็เริ่มรู้จักชาตัวอื่นๆ มากขึ้น อย่างชาที่ใส่โกโก้ มาเรียมว่ามันเป็น the best of two world เวลากินแล้วรู้สึกว่าความสุขสะกดแบบนี้เอง
แต่ที่ชอบสุดคือชามะลิ เรารู้สึกว่ามันอาจจะเบสิกแต่มันคือ The Best สำหรับเรา
ไม่ชอบกาแฟ เพราะฝังใจที่โรงเรียนไทยสอนใช่ไหม
มันมาจากตรงนั้นก่อน (หัวเราะ) แต่ทีหลังได้ลองดื่ม 2 ครั้ง ก็พบว่าเราดื่มไม่ได้ เพราะมันวูบวาบกินแล้วรู้สึกไม่ค่อยแข็งแรง เลยไม่ค่อยกล้ากิน เหมือนในหัวเรามันบล็อกไว้แล้วว่าเธอกินไม่ได้
ความไม่ชอบกาแฟของเราเลยทำให้เรามีเครื่องดื่มอีกอย่างที่ชอบเหมือนๆ กับชาซึ่งก็คือโกโก้และช็อกโกแลต เพื่อเป็นทางเลือกเวลาไปคาเฟ่หรือไปกับเพื่อน อย่างที่ออสเตรเลียจะมีคาเฟ่เยอะมาก เขาดังเรื่องกาแฟสเปเชียลตี้ก็จริง แต่ช็อกโกแลตร้อนของเขาก็อร่อยเหมือนกัน
มันจะใส่ฟองหน่อยๆ เหมือนคาปูชิโน ส่วนถ้าเป็นไอซ์ช็อกโกแลตก็จะเป็นช็อกโกแลต นม ไอศกรีม แล้วก็วิปครีม
เพราะเครื่องดื่มเป็นหนึ่งในความสุข คุณเลยให้ความสำคัญกับการเลือกภาชนะดีๆ ใช่หรือเปล่า
มากๆ ภาชนะคือสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเครื่องดื่มหรือว่าอาหาร เพราะภาชนะคือสื่อกลางในการนำเสนอรสชาติอาหาร พวกเชฟเลยช่างเลือกมากๆ ว่าเขาจะเสิร์ฟอะไรบนอะไร แม้กระทั่งว่าต้องใช้ช้อนแบบไหน
อย่างก่อนหน้านี้ มาเรียมตามหาแก้วเก็บอุณหภูมิแบบพกพาอยู่นานมาก แต่ก็ยังหาตัวที่ชอบจริงๆ ไม่ได้สักที บางอันดูเทอะทะ บางอันดูแมนไป แล้วส่วนใหญ่ฟังก์ชั่นก็ไม่ได้ คือเราอยากได้แก้วที่มันดื่มแล้วอร่อยด้วย
จนกระทั่งเห็นเพื่อนที่อยู่ซานฟรานซิสโกกับเพื่อนที่อยู่ไทยเขาโพสต์ภาพแก้วแบรนด์เดียวกันในเวลาใกล้ๆ กัน มาเรียมเลยไปลองเสิร์ชดูว่าแก้วอะไรน่ารักจัง จนไปเห็นว่าทาง Yellow Stuff นำเข้ามาด้วย ตอนแรกก็คิดนานเพราะกลัวสั่งมาแล้วไม่ชอบ กลายเป็นว่านี่แหละตอบโจทย์ น่ารักด้วย ดื่มแล้วอร่อยด้วย จนตอนนี้ไซโคทุกคนรอบตัวให้ไปซื้อ
ดื่มอร่อยหมายความว่ายังไง
ส่วนตัวมาเรียมชอบแก้วปากบาง เวลาจิบเข้าไปเราจะได้สัมผัสและรสชาติของเครื่องดื่มได้ชัด ผิดกับแก้วปากหนา ตัว Fellow มันปากบางมาก ที่สำคัญคือด้านในมันเคลือบเซรามิกไว้ กลิ่นพลาสติก หรือกลิ่น metal ก็จะไม่ตีขึ้นมาจนรสชาติมันเปลี่ยน
แต่จริงๆ ขอสารภาพเลยว่าที่ซื้อแก้วพกพาเพราะมาเรียมเป็นคนติดน้ำอัดลม เวลาไปตามร้านข้าวต้ม น้ำอัดลมมันมักจะออกมาก่อนอาหาร พออาหารออกมามันก็ไม่เย็นแล้วเพราะอากาศเมืองไทยมันร้อน เราอยากจะกินปลาเค็มแล้วก็หันมาจิบน้ำอัดลมของเราให้มันชื่นใจ เราเลยอยากหาแก้วเก็บความเย็นเพื่อไปนั่งร้านข้าวต้ม (หัวเราะ)
เพิ่งเคยได้ยินคนพกแก้ว Fellow ไว้ดื่มน้ำอัดลมที่ร้านข้าวต้ม
เรื่องจริง แล้วมันก็เวิร์กจริงๆ (หัวเราะ)
แฟนเราจะไม่ค่อยให้เรากินน้ำอัดลม ทุกครั้งที่ได้กินเราเลยรู้สึกว่าเราต้องกินให้คุ้มกับความรู้สึก เพราะเราจะกินได้แค่ขวดเดียวหรือกระป๋องเดียวเท่านั้น ยิ่งเราเป็นคนกินน้ำอัดลมแบบไม่ใส่น้ำแข็งมันก็ยิ่งต้องหาทางออกให้ตัวเอง
ตอนที่เจอแก้ว Fellow มันเหมือนมีแสงฮาเลลูยา เพราะคราวนี้เราไม่ต้องกลัวแล้วว่าร้านจะเอาข้าวมาให้ตอนไหน พอร้านเอาน้ำมาเสิร์ฟ เราก็เทใส่ Fellow ปิดฝาไว้ พอข้าวมาก็นั่งเมาท์กับเพื่อนได้โดยที่เครื่องดื่มของเรายังเย็นเฉียบอยู่ ตอนนี้ข้าวต้มมาช้าได้ เราไม่กลัว
มันเหมือนเป็น Natural High ที่ไม่ต้องอาศัยกัญชา
ตอนนี้มี Fellow กี่ใบแล้ว
อย่าถามเลยแฟนนั่งอยู่ (หัวเราะ) แต่บอกเลยว่าเต็มบ้าน เพราะเราเป็นคนที่ชอบอะไรแล้วจะชอบสิ่งนั้นมากๆ จากนั้นจะเริ่มอยากให้คนอื่นๆ ได้รู้ว่าสิ่งนี้มันดีนะ อย่างชอบมุราคามิ ชอบ BTS ก็ให้เต็มที่ ถามว่าลองของใหม่ไหมก็ลองนะ ถ้าชอบก็ชอบ แต่ถ้าไม่ชอบก็จะอยู่กับอันเดิม
ในบรรดา Fellow ทั้งหมด ตัวไหนที่ชอบที่สุด
ที่หยิบใช้บ่อยๆ น่าจะเป็น Carter Cold สีเทา เพราะมันไม่ค่อยตรงกับแบรนด์อะไร เวลาเราร้องเพลงในงานที่มีลูกค้า ลูกค้าจะมีสีประจำองค์กรของเขา สีเทาเลยเป็นสี Nutral ที่ไม่ต้องกลัวว่าจะติดแบรนด์อะไร
อีกใบคือ Carter Wide สีเทาเหมือนกัน ส่วนใหญ่ชอบพกไปข้างนอกไว้ดื่มช็อกโกแลตร้อน เพราะว่าปากมันกว้าง พอเราดื่ม กลิ่นของเครื่องดื่มมันก็ชัดเจน ส่วนตัวที่ใช้บ่อยที่สุดตอนนี้คือตัว Carter Carry สีม่วงที่สลักรูปวาฬ เพราะเป็นสัญลักษณ์ของ BTS เราชอบเพราะมันมีหูหิ้ว พกสะดวกดี
ส่วนแม่เราจะชอบใช้ Carter Move สีส้มเพราะมันน่ารัก แต่แฟนจะบ่นอย่างเดียวว่ามันเย็นมากเหมือนมันดีเกินไป (หัวเราะ)
ทั้งหมดนี้คือความสุขในฐานะคนธรรมดาๆ ของคุณ
ใช่แล้ว มีหนังสือสักเล่ม มีเครื่องดื่มดีๆ มีทะเล และมีครอบครัวที่ได้อยู่ด้วยกัน มันสงบที่สุดแล้ว ไม่ต้องนั่งคุยกันก็ได้แค่อยู่ใกล้ๆ กันแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
แล้วถ้าย้อนกลับมาที่อาชีพนักร้อง คุณยังมองอาชีพนี้ด้วยความรู้สึกกลัวหรือกังวลอยู่ไหม
ตอนนี้มาเรียมตัดทุกอย่างออกไปได้หมดแล้ว เพราะพอกลับมาทำจริงๆ มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าบางครั้งเราไม่ได้ร้องเพลงแค่เพื่อตัวเอง มันมีคนที่บอกว่าเพลงพี่ช่วยหนูมาก เพลงพี่ทำให้หนูออกจากงานมาทำตามความฝันของหนู หรือว่าวันนี้หนูท้อมาก แต่ได้ยินเพลงพี่แล้วรู้สึกดี รู้สึกมีความหวัง
มันทำให้เรารู้สึกว่าบางทีเราก็ทำเพื่อคนอื่นด้วยเหมือนกัน มาเรียมไม่ใช่นักร้องที่เก่งที่สุด บางทีก็ร้องไม่ถึงบ้าง แต่ก็มีความสุขแล้วก็ให้ใจทุกครั้งที่ร้อง ไม่เคยรู้สึกว่าเราแค่ร้องให้มันจบๆ ไป แต่เราอยากมอบความสุขให้ทุกคนจริงๆ
เวลาเห็นคนดูยิ้ม หรือคนร้องตามมันทำให้ความกลัวหรือความผิดหวังทุกอย่างมันหายไปหมด แต่ถามว่ากลัวไหม มันก็ยังมีความกลัวอยู่บ้างนิดหน่อย ว่าเดือนนี้งานจะเงียบไหม หรือช่วงไหนงานเยอะเราจะบาลานซ์ชีวิตของเรายังไงดี