เชื่อว่าคนที่หลงรักกาแฟและการหย่อนใจในคาเฟ่ต้องเคยติดตามอินสตาแกรมของบล็อกเกอร์กันบ้าง เผื่อว่าวันไหนจะได้ hop ไปตามร้านรวงที่บล็อกเกอร์รีวิว ไม่ว่าจะเพราะอยากไปเสพบรรยากาศที่เห็นผ่านภาพถ่าย ชิมของหวานที่ชวนน้ำลายสอ หรือเพราะอยากลิ้มลองซิกเนเจอร์ของร้านนั้นๆ
donny_skywalker คือหนึ่งในแอคเคาต์ที่ชาว Yellow Stuff ติดตามมานาน ด้วยสถานที่ที่เขาไปเยี่ยมเยียนนั้นหลากหลาย แสงสีจัดจ้าน มุมมองภาพยังแปลกตาชวนให้เราสงสัยว่าใครกันคือเบื้องหลังภาพที่มีเอกลักษณ์เหล่านั้น
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราจึงขอตาม ‘ดล–ธราดล จิตมั่นชัยธรรม’ ชายหนุ่มข้างหลังภาพไป hop กันที่ SiR Home Cafe และสนทนาถึงเรื่องราว ทริกภาพถ่าย และไอเทมคู่ใจของ donny_skywalker
เท่าที่จำความได้ กาแฟแก้วแรกของคุณเป็นยังไง
กาแฟแก้วแรกคือกาแฟ 3 in 1 ของแม่ (หัวเราะ)
ผมขอแม่ลองชิมเพราะว่ามันหอม ปรากฏว่าวันนั้นนอนไม่หลับ แม่ก็บอกว่ามันเป็นเพราะกาแฟนะลูก แต่เรื่องนอนไม่หลับผมก็ช่างมัน เพราะตั้งแต่นั้นมาผมก็ได้รู้ว่ากลิ่นกาแฟมันหอมแบบนี้ รสชาติแบบนี้
ไม่รู้สึกว่ากาแฟมันขมแบบที่เด็กคนอื่นคิดเหรอ
กาแฟ 3 in 1 มันหวาน แล้วผมก็ติดความหวานตรงนั้น พอโตมาเลยเริ่มที่ลาเต้เย็นหวานน้อย ก่อนจะไปลองเอสเปรสโซ่เย็น ตอนนั้นกระแสกาแฟ specialty ยังไม่มีเลยนะ มีแต่กระแสอเมริกาโน่ไม่ใส่น้ำตาลที่ฮิตจากซีรีส์เกาหลี
ลาเต้เย็นหวานน้อยหรือเปล่าที่นำพาคุณสู่วงการ cafe hopper
ว่าอย่างนั้นก็ได้ ผมกินเพราะอยากไปถ่ายคาเฟ่ ช่วงก่อนที่จะถ่ายคาเฟ่ ผมเป็นช่างภาพสายวิวมาก่อน แต่หลังจากนั้น ผมก็ย้ายมาทำงานในบริษัทเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับด้านอาหาร
ตอนแรกแอคเคาต์ donny_skywalker เป็นแอคที่ลงรูปอาหารโง่ๆ เลย แต่ประมาณปี 2018 กระแส cafe hopper กำลังมา ผมเริ่มไปถ่ายคาเฟ่บ้างตามประสาช่างภาพที่รู้สึกว้าวกับความสวยของร้านตอนนั้นยังไม่สนเรื่องเมนูด้วย รู้แค่ว่าเราชอบถ่ายร้าน ชอบถ่ายบรรยากาศ
แต่พอถ่ายเสร็จเราก็ต้องกินอาหารที่สั่งมาใช่ไหม ผมเลยเริ่มกินเมนูต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็ได้รู้จักเพื่อนบล็อกเกอร์ในอินสตาแกรมและเริ่มรวมกลุ่มไปคาเฟ่ทุกวันหยุด
ยากไหม จากช่างภาพสายแลนด์สเคปมาสู่ช่างภาพอาหาร
มันยากตรงที่เราไม่รู้มุม ไม่รู้ว่าเราจะถ่ายยังไงให้อาหารมันสวย
คือการถ่ายภาพทั้ง 2 แบบมันมีจุดร่วมที่เหมือนกันอยู่คือมิติของแสง การถ่ายภาพวิว เราต้องเลือกในมุมที่ถ่ายแล้วไม่ย้อนแสง เราต้องรู้ว่าสถานที่ตรงนี้ควรจะเป็นแสงเช้าหรือแสงบ่าย อาหารก็เหมือนกัน มู้ดแอนด์โทนของภาพมันต้องได้
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือการถ่ายภาพวิวมันกว้างมาก เราถ่ายกว้างยังไงมันก็ออกมาดูดี แต่โจทย์ของการถ่ายอาหารคือเราต้องถ่ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา เราไม่สามารถไปถ่ายให้มันกว้างได้ เรียกว่าเราต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่หมดเลย
ตอนลองถ่ายครั้งแรกมันแย่มาก เพราะอาหารจานหนึ่งมันไม่ใช่แค่อาหาร มันต้องมีพร็อพ มีการจัดวาง การถ่ายคาเฟ่ในวันหยุดมันเลยเหมือนเป็นการเพิ่มสกิลการถ่ายอาหารให้งานประจำด้วยส่วนหนึ่ง แล้วแต่ก่อนผมเป็นคนไม่ถ่ายบาริสต้าเลย แต่พอเห็นเพื่อนที่ถ่ายแนว candid เยอะๆ ผมก็เริ่มถ่ายบ้างเพราะรู้สึกว่าภาพมันดูมีชีวิตชีวา
คิดว่าการเป็นช่างภาพมีผลต่อมุมมองในการถ่ายคาเฟ่ไหม
ผมว่ามันอาจจะเป็นสไตล์ดีกว่า เพราะว่าเราชอบภาพที่มันดาร์กๆ หน่อย หรือสมมติเมนูกาแฟที่มันใสๆ เรืองแสงได้ ผมก็จะคิดแล้วว่าถ้าเรายิงแฟลช มันจะเรืองแสง ภาพก็จะดูว้าว ดูมีมิติกว่า หรือถ้าร้านนี้ไม่มีแดด ผมก็จะสร้างแดดเองจากแฟลช จนเพื่อนที่ไปตามก็งงว่าร้านไม่เห็นมีแสงแล้วเราเอาแสงมาจากไหน (หัวเราะ)
เวลาไปคาเฟ่ผมเลยจะมีอุปกรณ์เยอะมาก ซึ่งสาย hop ปบางคนเขาไม่ได้พกอุปกรณ์ไปขนาดนั้น
มีหลักการเลือกร้านและเมนูที่จะสั่งมาถ่ายรูปไหม
เรื่องเมนูที่สั่ง ต้องบอกว่าพอเราเริ่มดริปกาแฟเป็น เราก็จะไม่สั่งดริปที่ร้านแต่จะสั่งเมนูที่ทำเองที่บ้านไม่ได้ ถ้าสังเกตจะเห็นว่าผมลงลาเต้ร้อนเยอะมาก เพราะผมไม่มีเครื่องสตีมนม ไม่มีเครื่องทำเอสเพรสโซ่ของตัวเอง
เวลาไปร้านต่างๆ ก็จะศึกษาว่าร้านนี้เทลาเต้สวยไหม ถ้าร้านไหนเทสวย ผมอาจจะสั่งลาเต้ร้อนเลย ทั้งที่ลาเต้ร้อนไม่ได้เป็นเมนูซิกเนเจอร์ แต่บางร้านผมก็จะสั่งเมนูซิกเนเจอร์เพราะเขาทำออกมาหน้าตาดีอยู่แล้ว อีกอย่างเมนูนี้มันจะต้องแปลกกว่าร้านอื่นๆ
ส่วนเรื่องร้าน ถ้าเป็นแต่ก่อนจะเน้นร้านใหม่ ร้านไหนเปิดใหม่เราไปเลย แต่ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะผมทำงานประจำ บางร้านเขาเปิดร้านวันแรกในวันธรรมดา พอเราตามไปวันเสาร์–อาทิตย์ ร้านก็แตกจนเข้าไม่ได้
ตอนนี้ต้องใช้คำว่า ‘ฤกษ์สะดวก’ ว่างเมื่อไหร่ค่อยไป หรือปล่อยไว้สัก 2-3 เดือนแล้วค่อยไป แต่โดยสไตล์ของร้านที่ผมเลือกไปก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ มีแค่ว่าคาเฟ่ในกรุงเทพฯ จะไปน้อยลง เน้นลงภาพคาเฟ่ที่เชียงใหม่ซึ่งเป็นบ้านเกิดผมมากกว่า เพราะเวลาไปเชียงใหม่ทีนึงผมถ่ายเป็น 10 ร้าน
แต่สิ่งสำคัญ คือตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ แพสชั่นมันยังเหมือนเดิมคือเราไปคาเฟ่เพื่อถ่ายรูป เราตั้งใจกิน ตั้งใจถ่าย ตั้งใจไป ไม่ค่อยมีการไปส่งๆ ผมจะคิดมาแล้วว่าวันนี้ต้องไปร้านไหนบ้าง ต้องทำการบ้านเสมอว่าแต่ละร้านมีอะไรเด็ด แสงของร้านแบบนี้จะถ่ายยังไง อุปกรณ์อะไรที่ต้องเอาไปด้วย
ความสนุกของการกินเครื่องดื่มตามร้านต่างๆ คืออะไร
จริงๆ ต้องบอกว่ามันไม่สนุกเลย เพราะถ้าผมถ่ายรูป ผมถ่ายจนมันละลาย ว่าจะได้กินก็คือละลายแล้ว แต่ก็กินนะ กินจนหมด ความสนุกของผมจึงคือการถ่ายรูปกาแฟและบรรยากาศของร้านมากกว่า
หลังๆ ผมเลยต้องพกแก้วเก็บความเย็นไปด้วยทุกร้าน เพราะบางวันเราไปหลายร้านมาก กินวันละ 10 แก้ว 10 ร้านก็ทำมาแล้ว ร้านหลังๆ ผมเลยต้องให้เขาใส่เครื่องดื่มในแก้วเก็บความเย็นแทน
ใบที่พกไปประจำคือใบไหน
ถ้าเป็นตอนนี้ที่พกไปตลอดก็น่าจะเป็น STTOKE เพราะมันเบาหน่อย แล้วก็มีสายคล้องเท่ๆ ด้วย
แต่บางครั้งก็จะหยิบ Fellow ไป เพราะมันมีหลายความจุมาก ถ้าอยู่ที่ออฟฟิศก็จะใช้ตัว 16 ออนซ์ บางครั้งก็ใช้ตัวที่มีหลอด พร้อมกินพร้อมดื่ม แต่ถ้าไปเล่นบาสก็จะใช้ตัวหูหิ้ว 20 ออนซ์ เพราะต้องใส่น้ำเยอะหน่อย
ส่วนตัว Fellow ที่หยิบมาวันนี้ ผมชอบเพราะมันเป็นสีดำ แล้วลายโคตรเท่ ครั้งแรกที่เห็น Yellow Stuff โพสต์ลงว่าเป็นลิมิเต็ด ผมก็ซื้อเลยทั้งที่ตอนแรกไม่รู้หรอกว่านี่คือลายของใคร
แล้วชาว hopper จำเป็นต้องเลือกกระบอกพกพาให้เข้ากับแต่ละร้านหรือเปล่า
ผมไม่ได้ยึดว่ากระบอกต้องไปแมตช์กับร้าน ผมว่ามันต้องแมตช์กับตัวเรามากกว่า แต่การจะเลือกของไปเป็นพร็อพถ่ายรูปมันก็ค่อนข้างมีผลกับการเลือกสีนะ เพราะถ้าเรามีแต่สีดำ บางทีคนก็ไม่ชอบ อีกอย่างสีดำมันถ่ายยากกว่าสีอื่น
เริ่มถ่ายคาเฟ่ตั้งแต่ปี 2018 คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงของคาเฟ่หรือกาแฟไทยไหม
เยอะมาก ส่วนของตัวร้าน ผมคิดว่าร้านพยายามทำให้มันสวยอลังการขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องกาแฟ แล้วคาเฟ่ยุคใหม่จะมีกาแฟไทยให้เลือกเยอะขึ้น อย่างคาเฟ่ในเชียงใหม่ส่วนใหญ่จะเสิร์ฟกาแฟไทยหมด เพราะกาแฟทางเหนือเขาปลูกดี ผิดกับแต่ก่อนที่แต่ละร้านจะเน้นกาแฟนอกมากกว่า
งานหลักเป็นช่างภาพ งานอดิเรกก็ยังเป็นช่างภาพ คุณยังเหลือความรื่นรมย์ในการถ่ายรูปอยู่ไหม
มันน่าจะเป็นความชอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ต่อให้เปลี่ยนประเภทการถ่าย เราก็ยังอยู่ในกรอบของการถ่ายรูปอยู่ดี เพราะจริงๆ ผมไม่ได้ถ่ายคาเฟ่อย่างเดียว บางทีผมก็ไปถ่ายวิวเท่าที่ได้ไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแค่เพิ่มการถ่ายกาแฟและคาเฟ่เข้าไป
แล้วไอ้เรื่องกว่าจะได้กิน ผมว่าช่วงหลังๆ ผมถ่ายเร็วขึ้นนะ ไม่ปล่อยให้มันละลายเยอะแล้ว ที่เพิ่มเติมมาก็คือผมชอบคุยกับเจ้าของร้าน เขาจะทักแล้วว่าเรามาจากเพจไหน บางทีเราไม่ต้องคุยเรื่องกาแฟก็ได้ แต่คุยว่าคาเฟ่ตอนนี้เป็นยังไง เพราะเจ้าของร้านหลายๆ คนเขาไม่มีเวลาไป hop
ผมว่ามันดีนะ จากเจ้าของร้านก็กลายเป็นเพื่อน หรือจากเพื่อนกลายเป็นลูกค้าที่จ้างเราถ่ายภาพก็มี มันเป็นมิตรภาพที่เกิดจากการที่เราไปคาเฟ่เหล่านี้
ความยากของการเป็น cafe hopper หรือ blogger คืออะไร
ผมว่าถ้าเราทำด้วยความสุขมันน่าจะไม่ยาก แต่ถ้ายากตอนนี้น่าจะเป็นเรื่องว่าเราจะต้องไปแข่งกันว่าใครเร็วมากกว่า เพราะใครไปเร็วก็จะได้ยอดดี แต่ก่อนผมอยากได้ยอดไลก์เยอะๆ แต่พอตกผลึกได้ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร เราไปเพราะเราอยากไป ถึงจะมีคนไลก์หรือไม่มี เราก็อยากไปอยู่ดี
อีกอย่างมันเป็นพอร์ตภาพถ่ายของเรามากกว่า หลังๆ ผมเลยไม่มองเรื่องยอดไลก์ บางโพสต์ไลก์ไม่ถึง 100 ผมก็ไม่ได้สนเพราะเรารู้สึกว่าเราแค่อยากถ่าย แต่ถ้าไลก์มากๆ ก็ถือเป็นกำไร แล้วจริงๆ มันไม่น่าจะมีคนตามเพิ่มตั้งแต่ที่เราดองภาพแล้ว บางทีร้านเปิดจนปิด จนรีโนเวตไปแล้วผมก็ยังไม่ได้ลง จนบางร้านก็ถามว่าเมื่อไหร่คุณจะลงเนี่ย (หัวเราะ)
แล้วความสนุกล่ะ
ผมว่ามันเหมือนการเที่ยวรูปแบบหนึ่ง แต่เปลี่ยนจากเที่ยวธรรมชาติเป็นการดูอะไรใหม่ๆ เพราะผมจะว้าวกับร้านสวยๆ ทำไมร้านนี้มันดูเกาหลีจังวะ มันดูญี่ปุ่นจังวะ ร้านนี้ทำไมแดดมันเข้าแรงดีจังวะ หรือทำไมร้านนี้บาร์สวยมาก แล้วเราก็ชอบชิมกาแฟด้วย
แอคเคาต์ donny_skywalker เลยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผมไปแล้วนะ มันเป็นสิ่งที่เราเล่นกับมันทุกวัน มีการเคลื่อนไหวกับมันทุกวัน
donny_skywalker’s tips
- ไปในเวลาที่ร้านเปิดถึงจะดีที่สุด สมมติร้านเปิด 8 โมง คุณก็ไป 8 โมงเลย แต่ถ้าร้านเปิด 8 โมง แล้วคุณไปบ่ายโมง คนเต็มร้านแน่นอน ยิ่งเป็นร้านเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ ยิ่งน่ากลัวมาก บางทีเปิด 8 โมง แต่แค่ 15 นาทีต่อมาคนก็เต็มร้านแล้ว
- ต้องดูว่าแต่ละร้านเด่นแสงเช้าหรือแสงบ่าย เราก็ต้องทำการบ้านมา การบ้านก็ง่ายมากคือดูจากที่คนแท็กร้านมา
- เลือกเมนูที่อยากกินไปเลยตั้งแต่แรก ไปถึงจะได้ไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน สั่งมาแล้วถ่ายเลย จะได้กินตอนมันยังอร่อยอยู่