Blog RSS



เคาะประตู Brown Burgundy และสนทนากับ ‘ฟ้า–นิโรธา’ ถึงความบ้าเครื่องแก้วและการเติบโตตลอด 10 ปี

ในซอยที่ไม่พลุกพล่านย่านพระราม 9 ที่ซึ่งความเงียบสงบ ร่มไม้ใหญ่ และเสียงนกร้องยามเช้าเป็นฉากหลัง เราเดินทางมาถึง Brown Burgundy ร้านกาแฟสไตล์มิดเซ็นจูรี่ที่โดดเด่นด้วยอาคารเก่าและสีสัน ความพิเศษของคาเฟ่แห่งนี้คือนอกจากเวลากลางวันจะเสิร์ฟอาหาร ขนม และกาแฟแล้ว ตกค่ำย่ำกลางคืน Brown Burgundy ยังแปลงโฉมเป็น natural wine bar ที่พร้อมพาทุกคนไปพักใจ อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจเบรกว่าร้านที่เสิร์ฟหลายอย่างขนาดนี้จะน่าไปดื่มไปดริ๊งก์จริงไหม ใครกันที่จะบ้าทำทุกอย่างให้ออกมาดีแบบไม่มีที่ติ แต่หลังจากชิมทั้งกาแฟ และอาหารของ Brown Burgundy ไปแล้ว เราขอเป็นอีกเสียงยืนยันว่าคาเฟ่ที่ทำทั้งอาหารอร่อย และกาแฟยัง made my day ได้นั้นมีอยู่จริง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าของร้านที่เรามาพบวันนี้จะเป็น ‘ฟ้า–นิโรธา วีรธรรมพูลสวัสดิ์’ ที่นอกจากจะคร่ำหวอดในวงการกาแฟแทบทุกสายแล้ว เธอยังเป็นผู้ก่อตั้งคาเฟ่ One Ounce for Onion ย่านเอกมัยที่ใครๆ ก็ร้องอ๋อ และ OOObkk คาเฟ่ย่านทาวน์อินทาวน์ที่ปัจจุบันปิดตัวไปแล้วก่อนย้ายมาปักหลักที่แห่งใหม่นี้ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ทั้งหมด เราชวนฟ้ามาเปิดใจถึงการทำคาเฟ่ ที่ไม่เพียงแค่ต้องใส่ใจแต่เรื่องกาแฟ แต่กระทั่งเครื่องแก้วที่สวยก็เป็นอีกเรื่องที่เธอไม่ยอมปล่อยไป   01   “ในช่วงที่เราทำ One Ounce for Onion หรือทำ OOObkk มันเป็นช่วงที่ Specialty Coffee ใหม่มาก ทุกคนอยากรู้ว่ามันคืออะไรและพร้อมขับรถข้ามฝั่งจากธนบุรีมาเอกมัยเพื่อมาลองกาแฟสักแก้ว มาคุยกับบาริสต้า  “แต่ ณ วันนี้ที่มันผ่านมา 10 ปีแล้ว คนเริ่มชินกับกาแฟ specialy เราว่าคนไม่ได้ตื่นเต้นว่ากาแฟมันเปรี้ยวได้ด้วยหรอ เขาชินแล้วว่าเวลาเดินเข้าไปในคาเฟ่สักร้าน เขาเลือกได้ว่าเขาจะกินคั่วระดับไหน กินเปรี้ยวหรือไม่เปรี้ยว  “เราเองไม่ใช่คนใหม่ในวงการ เราทำงานในวงการนี้มา 10 ปีแล้ว ความคิดแต่ละช่วงมันก็เปลี่ยนไปตามตัวเราเองที่โตขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องตะโกนว่าเราคือ Super speciality เราแค่อยากทำคาเฟ่ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกสบายๆ เราอยากเป็น one-stop service ที่เสิร์ฟอาหารด้วย เสิร์ฟขนมด้วย แต่ไม่ได้หมายความกาแฟเราจะไม่อร่อย”   02   “คอนเซปต์ของ Brown Burgandy มันเลยต่อยอดมากจาก OOObkk ซึ่งก็คือ non-boundary experience มันเหมือนเป็นการหาตรงกลางให้คาเฟ่เข้าไปตอบโจทย์คนทุกกลุ่มได้ คนที่จริงจังเรื่องกาแฟก็ได้ สาย cafe hopping ก็ได้ หรือคนที่กินกาแฟเพื่อตื่นก็ได้ เราว่าทุกคนอยู่ร่วมกันได้หมดเลย “เพราะสิ่งที่เราสรุปได้ในช่วง 5 ปีหลังคือชีวิตคนกรุงเทพฯ มันวุ่นวายมาก การเดินทางก็ไม่ได้สะดวกขนาดนั้น อากาศก็ร้อน ตัวเลือกการเที่ยวก็มีจำกัด ไม่แปลกใจหรอกถ้าการเที่ยวคาเฟ่จะเป็นที่นิยมและมันไม่ผิดด้วยที่คนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ...

Continue reading →



โลกกาแฟที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของอาร์ม dripcoffeehaus วิศวกรผู้หลงรักการดริปกาแฟ

ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เปิดบทสนทนากับเพื่อนในวงการกาแฟ และได้ชิมกาแฟดริปอร่อยๆ ที่ผ่านฝีมือของแต่ละคน ไม่มีครั้งไหนที่เราไม่ตื่นเต้นเลย แต่สำหรับคู่สนทนาของเราในวันนี้อย่าง ‘อาร์ม-กิตตินันท์ บุญเปี่ยม’ หรืออาร์ม @dripcoffeehaus เจ้าของคอนเทนต์ที่ตั้งใจพาเราเปิดโลกอุปกรณ์ใหม่ๆ คนนี้ ทำเราตื่นเต้นแบบคูณสอง เพราะเซอร์ไพรส์กับสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าคาดอกใบเก่งที่เจ้าตัวพกพาไปด้วยทุกที่ (คุณภรรยาช่วยยืนยันอีกเสียงว่าเขาพกติดตัวจริงๆ) ช้อนชิมกาแฟ แก้วส่วนตัว พัดลมพกพา และเครื่องมือวัดค่า TDS ทั้งหมดนี้ยืนยันความหลงใหลในรสชาติกาแฟ และความใส่ใจในรายละเอียดของวิศวกรผู้หลงรักการดริปกาแฟคนนี้ได้เป็นอย่างดี    แถมเรื่องราวที่น่าสนใจของอาร์มไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะมากกว่าการเป็นคนชงกาแฟดื่มเองที่บ้านแล้ว เจ้าตัวยังเป็นเจ้าของรางวัลชนะเลิศลำดับที่ 5 จากเวที Thailand National Brewers Cup Championship 2023 อีกด้วย    วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเพื่อนของ Yellow Stuff คนนี้ให้มากขึ้นกัน   กาแฟดริปกลายมาเป็นความรักความชอบของคุณได้ยังไง  ตอนปี 2019 ก่อนที่เราจะทำงานอยู่ที่บ้าน (Work from home) เพราะโควิด-19 กัน พี่เจี๊ยบเป็นพี่ที่ทำงานเห็นเขาชงกาแฟ ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ พอช่วงพฤษภาคม 2020 ที่ต้อง Work from home แบบ 100% และหากาแฟกินไม่ได้ ผมก็นึกถึงพี่เจี๊ยบขึ้นมา จากนั้นเริ่มซื้ออุปกรณ์จากแพลตฟอร์มออนไลน์ มีกา ดริปเปอร์ เหยือก กระดาษกรอง และเมล็ดกาแฟ อย่างเมล็ดเราก็เลือกซื้อกาแฟจากพี่ๆ Gallery Drip Coffee แม่จันใต้  ตอนนั้นก็ชงแบบผิดๆ ถูกๆ เปรี้ยวบ้าง ขมบ้าง ไม่รู้เรื่องเลย มีความคิดว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่ากาแฟที่เราชงอร่อยหรือเปล่า หรือจริงๆ แล้วเมล็ดกาแฟตัวนี้มีรสชาติแบบไหน เลยไปที่ต้นทางก็คือร้าน Gallery Drip Coffee ที่เราซื้อกาแฟมา ว่าเขาชงออกมามีรสชาติแบบไหน เดินดุ่มๆ เข้าไป เอ๊ะ ทำไมกาแฟมันหลากหลาย เต็มโถไปหมดเลย เลือกแบบเก้ๆ กังๆ พอเห็นโถป้ายกาแฟจากแม่จันใต้ เอาอันนี้ แบบร้อนแก้วหนึ่ง คนที่ชงให้ก็คือพี่ปิ พอชิมดู มันต่างกับที่เราชงมาก ก็กลับมาทบทวนที่บ้านว่า ทำไมเราชงไม่ได้เหมือนเขา มีอะไรที่เรายังไม่เข้าใจหรือเปล่าก็เลยเริ่มศึกษา   เมื่อก่อนมันมีข้อมูลให้ดูน้อยมาก หลักๆ ก็ Youtube ตอนนั้นต้นแบบผม และทุกๆคนก็คือ Tetsu Kasuya เจ้าของ 4 : 6 Method ก็เริ่มฝึกจากตรงนั้นมาเรื่อยๆ มีไปเข้าคลาสกับ Gallery Drip...

Continue reading →



ตามไป hop กับ donny_skywalker ช่างภาพผู้หลงใหลกาแฟ บทสนทนา และการเก็บโมเมนต์ในคาเฟ่ทุกวันหยุด

เชื่อว่าคนที่หลงรักกาแฟและการหย่อนใจในคาเฟ่ต้องเคยติดตามอินสตาแกรมของบล็อกเกอร์กันบ้าง เผื่อว่าวันไหนจะได้ hop ไปตามร้านรวงที่บล็อกเกอร์รีวิว ไม่ว่าจะเพราะอยากไปเสพบรรยากาศที่เห็นผ่านภาพถ่าย ชิมของหวานที่ชวนน้ำลายสอ หรือเพราะอยากลิ้มลองซิกเนเจอร์ของร้านนั้นๆ  donny_skywalker คือหนึ่งในแอคเคาต์ที่ชาว Yellow Stuff ติดตามมานาน ด้วยสถานที่ที่เขาไปเยี่ยมเยียนนั้นหลากหลาย แสงสีจัดจ้าน มุมมองภาพยังแปลกตาชวนให้เราสงสัยว่าใครกันคือเบื้องหลังภาพที่มีเอกลักษณ์เหล่านั้น วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราจึงขอตาม ‘ดล–ธราดล จิตมั่นชัยธรรม’ ชายหนุ่มข้างหลังภาพไป hop กันที่ SiR Home Cafe และสนทนาถึงเรื่องราว ทริกภาพถ่าย และไอเทมคู่ใจของ donny_skywalker   เท่าที่จำความได้ กาแฟแก้วแรกของคุณเป็นยังไง กาแฟแก้วแรกคือกาแฟ 3 in 1 ของแม่ (หัวเราะ)  ผมขอแม่ลองชิมเพราะว่ามันหอม ปรากฏว่าวันนั้นนอนไม่หลับ แม่ก็บอกว่ามันเป็นเพราะกาแฟนะลูก แต่เรื่องนอนไม่หลับผมก็ช่างมัน เพราะตั้งแต่นั้นมาผมก็ได้รู้ว่ากลิ่นกาแฟมันหอมแบบนี้ รสชาติแบบนี้    ไม่รู้สึกว่ากาแฟมันขมแบบที่เด็กคนอื่นคิดเหรอ  กาแฟ 3 in 1 มันหวาน แล้วผมก็ติดความหวานตรงนั้น พอโตมาเลยเริ่มที่ลาเต้เย็นหวานน้อย ก่อนจะไปลองเอสเปรสโซ่เย็น ตอนนั้นกระแสกาแฟ specialty ยังไม่มีเลยนะ มีแต่กระแสอเมริกาโน่ไม่ใส่น้ำตาลที่ฮิตจากซีรีส์เกาหลี  ลาเต้เย็นหวานน้อยหรือเปล่าที่นำพาคุณสู่วงการ cafe hopper   ว่าอย่างนั้นก็ได้ ผมกินเพราะอยากไปถ่ายคาเฟ่ ช่วงก่อนที่จะถ่ายคาเฟ่ ผมเป็นช่างภาพสายวิวมาก่อน แต่หลังจากนั้น ผมก็ย้ายมาทำงานในบริษัทเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับด้านอาหาร  ตอนแรกแอคเคาต์ donny_skywalker เป็นแอคที่ลงรูปอาหารโง่ๆ เลย แต่ประมาณปี 2018 กระแส cafe hopper กำลังมา ผมเริ่มไปถ่ายคาเฟ่บ้างตามประสาช่างภาพที่รู้สึกว้าวกับความสวยของร้านตอนนั้นยังไม่สนเรื่องเมนูด้วย รู้แค่ว่าเราชอบถ่ายร้าน ชอบถ่ายบรรยากาศ  แต่พอถ่ายเสร็จเราก็ต้องกินอาหารที่สั่งมาใช่ไหม ผมเลยเริ่มกินเมนูต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็ได้รู้จักเพื่อนบล็อกเกอร์ในอินสตาแกรมและเริ่มรวมกลุ่มไปคาเฟ่ทุกวันหยุด   ยากไหม จากช่างภาพสายแลนด์สเคปมาสู่ช่างภาพอาหาร  มันยากตรงที่เราไม่รู้มุม ไม่รู้ว่าเราจะถ่ายยังไงให้อาหารมันสวย  คือการถ่ายภาพทั้ง 2 แบบมันมีจุดร่วมที่เหมือนกันอยู่คือมิติของแสง การถ่ายภาพวิว เราต้องเลือกในมุมที่ถ่ายแล้วไม่ย้อนแสง เราต้องรู้ว่าสถานที่ตรงนี้ควรจะเป็นแสงเช้าหรือแสงบ่าย อาหารก็เหมือนกัน มู้ดแอนด์โทนของภาพมันต้องได้  แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือการถ่ายภาพวิวมันกว้างมาก เราถ่ายกว้างยังไงมันก็ออกมาดูดี แต่โจทย์ของการถ่ายอาหารคือเราต้องถ่ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา เราไม่สามารถไปถ่ายให้มันกว้างได้ เรียกว่าเราต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่หมดเลย  ตอนลองถ่ายครั้งแรกมันแย่มาก เพราะอาหารจานหนึ่งมันไม่ใช่แค่อาหาร มันต้องมีพร็อพ มีการจัดวาง การถ่ายคาเฟ่ในวันหยุดมันเลยเหมือนเป็นการเพิ่มสกิลการถ่ายอาหารให้งานประจำด้วยส่วนหนึ่ง แล้วแต่ก่อนผมเป็นคนไม่ถ่ายบาริสต้าเลย แต่พอเห็นเพื่อนที่ถ่ายแนว candid เยอะๆ ผมก็เริ่มถ่ายบ้างเพราะรู้สึกว่าภาพมันดูมีชีวิตชีวา  คิดว่าการเป็นช่างภาพมีผลต่อมุมมองในการถ่ายคาเฟ่ไหม ผมว่ามันอาจจะเป็นสไตล์ดีกว่า เพราะว่าเราชอบภาพที่มันดาร์กๆ หน่อย หรือสมมติเมนูกาแฟที่มันใสๆ เรืองแสงได้ ผมก็จะคิดแล้วว่าถ้าเรายิงแฟลช...

Continue reading →



บทสนทนาในห้องคั่วกาแฟของเบรคเอี้ยด-วรท รัตนพันธุ์ แชมป์ Thailand National Coffee Roasting Championship 2024

บรรยากาศวันจันทร์ของคุณเป็นแบบไหน เร่งรีบไปออฟฟิศ วุ่นวายกับผู้คน หรือตื่นเต้นกับสัปดาห์การทำงานที่วนกลับมาเจอกันใหม่อีกครั้ง วันจันทร์ของแชมป์ Thailand National Coffee Roasting Championship 2024 อย่าง ‘เบรคเอี้ยด-วรท รัตนพันธุ์’ เจ้าของ Wonderroom.bkk คาเฟ่และโรงคั่วกาแฟในซอยอ่อนนุช 80 เป็นวันทำงานที่บรรยากาศต่างจากเราๆ มากทีเดียว เพราะตารางเวลาของเขามีไว้สำหรับอีกสิ่งหนึ่งที่ตัวเองรักอย่างการคั่วกาแฟ งานที่มีเพียงตัวเอง กระสอบสารกาแฟ และเครื่องคั่วกาแฟที่ใหญ่พอๆ กับตัวคนเท่านั้นที่มีบทบาทสำคัญในวันนี้ ก่อนที่เครื่องคั่วกาแฟจะเปิดสวิตช์ทำงาน เรามาทำความรู้จักกับเบรคเอี้ยดผ่านบทสนทนาที่ว่าด้วยเส้นทางกาแฟ การเติบโตในฐานะโรสเตอร์ฝีมือน่าจับตา ที่เจ้าตัวนิยามว่าเป็นการค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ และเบื้องหลังการเตรียมตัวเป็นตัวแทนทีมชาติไทยไปแข่งรายการ World Coffee Roasting Championship 2024 ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในเดือนมิถุนายนนี้กัน   เส้นทางกาแฟของคุณเริ่มต้นขึ้นมาได้ยังไง เริ่มจากการเป็นพาร์ตไทม์ที่ร้าน Red Diamond ในช่วงรอยต่อระหว่างเพิ่งเรียนจบและรองานสอนดนตรี แล้วก่อนหน้านั้นก็ไม่กินกาแฟด้วยนะ คือมีรุ่นพี่ที่คณะพาไปกินกาแฟดริป เฮ้ย กาแฟมีแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่ขมเลยอะ มีความเปรี้ยว หวาน มีกลิ่นแบบงงๆ ด้วย แล้วเหมือนกินชาเลย รู้สึกตื่นเต้นกับกาแฟโลกใหม่มาก ก็เลยเลือกสมัครเป็นบาริสต้า แต่ว่าทำอะไรไม่เป็นเลยนะครับ ไม่เคยทำงานบริการมาก่อนด้วย เขาก็รับผมแบบงงๆ คิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่เขาขยายทีมด้วย แล้วที่นั่นเหมือนเป็นที่ที่คนที่มีความหลงใหลในเรื่องเดียวกันไปรวมตัวกัน มีความอยากทำ อยากทดลองอะไรใหม่ๆ ตลอด ทำให้เติบโตกันไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ไปอยู่ตรงนั้นในตอนนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีวันนี้ได้   อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรากลายมาเป็นเจ้าของร้านกาแฟ หลังทำพาร์ตไทม์ได้ประมาณ 2 ปี ช่วงก่อนโควิด-19 ผมลาออกมาสอนดนตรีจริงจัง แล้วพอโควิด-19 มา ก็ไม่มีงาน ซึ่งของพวกนี้ (อุปกรณ์ชงกาแฟต่างๆ) ผมก็ซื้อเก็บไว้นานแล้วตั้งแต่ทำพาร์ตไทม์ เหมือนซื้อเก็บเป็นของสะสม แล้วพื้นที่ตรงนี้ก็เป็นที่ที่ผมกับเพื่อนมาแฮงเอาต์กันบ่อยๆ วันหนึ่งเพื่อนก็ยุให้เปิดร้าน มาช่วยทำกราฟิก ทำนั่นทำนี่ ก็เดินทางมาเรื่อยๆ จนฟีดแบ็กดีและกลายเป็นร้านอย่างที่เห็นในวันนี้     แล้วการคั่วกาแฟ คุณเริ่มต้นกับมันยังไง ที่ร้านเก่าเขาก็สอนผมชงกาแฟ แต่วันหนึ่งที่ผมอยากคั่ว ผมก็เข้าไปหาเขา เขาก็สอน แล้วลองทำเองมาเรื่อยๆ กับเครื่องคั่วกาแฟตัวเล็กๆ ที่ซื้อมา ไปร้านกาแฟที่เขาคั่วกาแฟเองก็ถามว่าทำไมคั่วออกมาเป็นแบบนี้ ผมเป็นคนกล้าถาม ขี้สงสัยประมาณหนึ่ง ก็ทดลอง ทำซ้ำ ทดลอง ทำซ้ำ แบบนี้มาเรื่อยๆ    ผมไม่เคยเรียนอะไรเกี่ยวกับกาแฟเลย ทุกวันนี้ที่คั่วกาแฟก็มีบางอย่างที่คุยกับคนที่เขาเรียนมาไม่รู้เรื่องนะ (หัวเราะ) แต่เวลาอธิบายว่าทำแบบนี้ๆ เขาก็จะเข้าใจแล้วก็ตอบเรา เหมือนที่ผ่านมาใช้ฟีลลิ่งทำมาหมดเลย ไม่ได้ทำตามทฤษฏี รู้แค่ว่าให้พลังงานแบบนี้ ผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ กาแฟมันสุกหรือไม่สุกเป็นแบบไหน ชิมแล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่าต้องปรับแก้ตรงไหน...

Continue reading →



คุยเรื่องความชอบของ ‘มาเรียม B5’ ตั้งแต่หนังสือ จนถึงการหาแก้วดีๆ เพื่อทานน้ำอัดลมในร้านข้าวต้มให้อร่อย

มาเรียม B5  เมื่อเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา เชื่อว่าบทเพลงกินใจและน้ำเสียงทรงพลังจะต้องลอยเข้ามาในหูของใครหลายคน เพราะมาเรียม B5 หรือ Mariam Grey Alkalali นักร้องลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลียคนนี้มีแนวทางการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ไม่น้อย เธอเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางดนตรีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงมาเรียม จากการเข้าไปอยู่ในวงดนตรีประสานเสียง ก่อนมีโอกาสได้ร้องเดี่ยว และตัดสินใจเรียนด้านดนตรีที่ออสเตรเลียตั้งแต่มัธยมปลายจนจบมหาวิทยาลัย ในเส้นทางสายดนตรี มีช่วงที่เธอเบิร์นเอาต์จนบอกลาวงการ มีช่วงที่เธอสับสน กังวล และกลัวผิดหวัง แต่ก็มีช่วงที่เธอหวนระลึกถึงช่วงเวลายามได้เปล่งเสียงเพลงให้ใครสักคนฟังเช่นกัน  แต่ไม่ว่าจะในช่วงไหนของชีวิต สิ่งหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญคือการบาลานซ์การเป็นนักร้องและการเป็นคนธรรมดาๆ ที่อยากมีเวลาที่ได้อยู่เงียบๆ กับสิ่งที่หลงใหล นอกจากการเป็นนักร้อง มาเรียมจึงเป็นทั้ง A.R.M.Y (อาร์มี่) กลุ่มแฟนคลับของบอยแบนด์เกาหลีอย่าง BTS เป็นทั้งหนอนหนังสือมูราคามิตัวยง และเป็นคนที่รักการจิบเครื่องดื่มดีๆ สุดหัวใจ นอกเวลางานวันนี้ เราจึงอยากชวนทุกคนมานั่งสนทนากับมาเรียมในบรรยากาศสบายๆ ถึงความสุขของ Mariam Grey Alkalali  ในแต่ละวัน รูทีนของนักร้องอย่างคุณเป็นยังไงบ้าง ถ้ารูทีนของการฝึกซ้อมมันก็ต้องมีบ้าง แต่พอเรามาทำงานตรงนี้จริงๆ และได้คุยกับหลายคนเขาก็ไม่ได้ซ้อมหรือวอร์มเลย เพราะงานแต่ละงานของนักร้องไม่ค่อยเป็นแพทเทิร์น บางงานเริ่ม 6 โมงเย็น บางงานร้องตอนเที่ยงคืน อย่างเมื่อคืนร้องตอนห้าทุ่ม พรุ่งนี้มีร้องต้อนสี่ทุ่ม อาชีพนักร้องมันเลยมีรูทีนยาก แต่มันก็เป็นเป้าหมายของมาเรียมที่อยากสร้างรูทีนให้ตัวเองนะ เช่น วันนี้เราจะออกกำลังกาย วันนี้เราจะอ่านหนังสือ   รูทีนสำคัญยังไงกับชีวิต  มันทำให้รู้สึกว่าเรามีคุณค่ามากขึ้น ถ้าเราตื่นขึ้นมาออกกำลังกายได้ มันเหมือนเป็นรางวัลชีวิตเหมือนกันที่เราสามารถเอาชนะตัวเองได้ เพราะมาเรียมเป็นคนที่ชิลมากๆ เราเลยอยากสร้างระเบียบวินัยให้ตัวเองนิดนึง    ถ้าถอดความเป็นนักร้องออกไป อะไรบ้างที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้มีความสุข BTS เป็นอย่างหลักๆ เลย ส่วนอีกสิ่งที่สำคัญคือการนั่งจิบเครื่องดื่มแล้วก็อ่านหนังสือ เมื่อก่อนตอนที่มีเวลาเยอะกว่านี้ มาเรียมจะไปหาร้านกาแฟนั่งอ่านหนังสือ กินโกโก้บ้าง หรือไม่ก็ชา  อีกสิ่งคือการเดินทาง มีครั้งนึงเราบินไปเบอร์ลินคนเดียว ตื่นขึ้นมาอีกเช้าก็เดินหาร้านกาแฟนั่ง ในมือมีหนังสือเล่มนึง และช็อกโกแลตร้อนอีกแก้ว เราอ่านหนังสือ สลับกับการนั่งดูคน ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเป็นจุดที่สงบมากๆ เราก็รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรที่เรากังวล เรากังวลไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ ในที่ที่เราไม่รู้จักใครและไม่มีใครรู้จักเรา ภาษาอังกฤษเขาเรียก anonymity  อย่างในห้องเรียมจะมีโซนโต๊ะอาหารที่เราจัดเอง บนโต๊ะจะมีดอกไม้แห้ง เทียนหอม เครื่องปิ้งขนมปัง มีกาน้ำอยู่ใกล้ๆ พอตื่นขึ้นมาก็จะจุดเทียน ดื่มเครื่องดื่มที่เราทำ อ่านหนังสือบ้าง ไม่อ่านบ้าง  เป็นโซนที่เวลาเรานั่งแล้วเราคุยกับตัวเองได้มากที่สุด  การคุยกับตัวเองสำคัญยังไง เวลาเราออกไปร้องเพลง เราต้องให้ตัวตนเรากับคนอื่น บางทีคนเหลือน้อยมาก แต่เราก็ต้องร้องเพราะวันนี้ เราไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง การที่เขาได้ฟังเพลงของเรามันอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในวันนี้ เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด แม้ว่าเราจะกลัวแค่ไหนว่าเหลือคนแค่นี้ เราจะร้องยังไง มันต้องสลัดความคิดพวกนั้นออก บางทีลงจากเวทีแล้วเหนื่อยมากแต่เมื่อมีคนขอถ่ายรูป เราก็รู้สึกแฮปปี้ แล้วเขาก็แฮปปี้ แต่พอทุกอย่างมันสงบลงแล้ว อารมณ์ถ้ามองเป็นภาพบนเวทีคือเวลาที่ม่านมันปิดลง แล้วสปอตไลท์ก็ดับไปหมดแล้ว มันเหลือแค่ตัวเรา  ทีนี้เราก็จะมีเวลาให้กับตัวเอง คุยกับตัวเองบ้าง สอบถามความรู้สึกของตัวเองบ้างว่าวันนี้เป็นยังไง...

Continue reading →


//